note สรุป live opBNB สงคราม Layer 2 จบแล้ว
มาสรุป live ไวๆกัน
Disclaimer: ยังไม่ชำนาญสาย infra นะครับ อาจตีความบางจุดผิดไปบ้างครับ
เอาละ มาเริ่มกัน
ก่อนจะไปคุยกันว่า opBNB ซึ่งเป็น layer 2 แบบ rollup จะมาจบสงคราม layer 2 ยังไง
มาดูก่อนว่า layer 2 คืออะไร
Layer 2 ?
เป็นการพัฒนาเพื่อ scale ให้ chain รับ tx ได้มากขึ้น
ซึ่ง layer 2 มีการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยแบ่งได้เป็น 3 ยุค
ยุคของ Layer 2
แบ่งได้คร่าวๆเป็น 3 ยุคคือ
- off chain scaling
คือ เป็นการเปิด channel แยก เพื่อไปรันในกลุ่มย่อยกันเอง
เช่น ligthing network ของ BTC
ข้อดี: เหมาะกับการ payment
ข้อเสีย: ต้องเปิด node ถ้าไม่เปิด node ต้องฝาก asset ไว้กับเจ้าของ node
2. check point
คือ การรัน side chain แยกไป แล้วทำการเก็บข้อมูลลง chain หลัก เป็นช่วงๆ
เช่น polygon ที่ใช้ plasma ในการเก็บ checkpoint ลง ETH mainnet
ข้อเสีย: ถ้าเทียบกับ rollup แล้ว การ checkpoint ไม่ได้เก็บข้อมูลทั้งหมดลงไปบน chain หลัก ทำให้ต้องดูข้อมูลจาก layer 2 และ layer 1 รวมกัน ถึงจะเห็นข้อมูลทั้งหมด
3. roll up
ข้อดี: scale ได้ และยังเป็น decentralize
โอเค แล้ว opBNB ที่เป็น rollup มีอะไรเด่น ?
1. Binance จริงจังกับ chain นี้มากกว่า chain อื่นๆที่เคยเปิด
chain แรกที่ binance เปิดคือ bnb beacon chain ที่ทำด้วย tendermint ซึ่งไม่มี smart contract
ต่อมาก็เปิด BSC chain ซึ่งอิง staking จาก bnb beacon chain
สุดท้ายก็หยุดพัฒนา bnb beacon chain แล้วดัน BSC chain ขึ้นมาเป็น chain หลัก พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น BNB chain ตามที่เห็นในปัจจุบัน
ต่อมาก็เปิดตัว zkBNB ซึ่งมีโครงสร้างซับซ้อน และไม่เปิด testnet ให้ (เหมือนไม่ได้ให้ effort เท่าไหร่) แต่เปิด code ให้ไปรันกันเองได้นะ
แต่ครั้งนี้ opBNB มี testnet ให้แล้ว และยังทำ blockscan custom ด้วย (ไม่ได้ใช้ blockscout/etherscan)
2. ทีมพัฒนาเก่ง
ทีม NodeReal จาก Binance Lab เคยทำโปรเจ็คใหญ่มาหลายโปรเจ็คแล้ว
แสดงว่า Binance เอาจริง เลยส่งทีมนี้มา
3. opBNB เรียบง่าย จึงง่ายต่อการ adoption
ตัว opBNB ที่พัฒนามาจาก Optimism bedrock นั้น เรียบง่าย
ถ้าเทียบกับ Optimism ก่อนจะมี bedrock จะเห็นว่า ตอนนั้น Optimism มี concept ซับซ้อนหลายอย่างเช่น ไม่มี blocktime
ไม่มี blocktime แล้วขุด block ยังไง?
ขุดทันทีเมื่อมี tx เข้ามา
ไม่มี blocktime แล้วมีปัญหายังไง?
app ที่ต้องใช้ blocktime ต้องเปลี่ยน logic เยอะ เพื่อให้ลง chain นี้ได้ เช่นการ farming ต้องเปลี่ยน logic การคิดกำไรราย block เป็นการคิดกำไรในช่วงที่เวลาที่กว้างกว่านั้นแทน เช่น ทุก 7 วัน
ง่ายต่อการ adoption ยังไง?
- ตัวโครงสร้างคล้ายกับ the merge นั่นคือ
มี 1 chain สำหรับ execution layer, 1 chain สำหรับ consensus layer และมี batcher เป็นตัวกลางในการเอาข้อมูลจาก consensus chain ไปที่ execution chain
2. เปลี่ยนการเก็บข้อมูลบน layer 1
แต่เดิมการเก็บข้อมูลจาก layer 2 บน layer 1 จะเก็บโดยเขียนบน state ของ smart contract
แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนการเก็บข้อมูล ไปเก็บบน memo ของ tx การโอน native token แทน
เพราะยังไง data ตรงนี้ก็เก็บไว้เฉยๆอยู่แล้ว จะไปเก็บตามโครงสร้าง state ของ smart contract ให้มี overhead มากขึ้นทำไม
ด้วยความที่คล้ายกับโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว และมี overhead น้อย ทำให้ software node เจ้าต่างๆเช่น go-eth หรือ erigon สามารถแก้ code ได้ทันที
Discussion
ตอนนี้ opBNB ขาดทุนทุก tx ?
ค่าแก๊สบน opBNB ที่เก็บจาก user น้อยมาก แต่ตอน chain ต้อง data นำไปลง layer 1 เสียค่าแก๊สเยอะอยู่ ทำให้ตัว chain เองยังขาดทุนทุก tx
แต่ถ้า
- ในอนาคตมีคนใช้ opBNB เยอะขึ้น จะทำให้มีการช่วยกันแชร์ cost ตรงนี้กันเยอะขึ้น
- ถ้า EIP 4844 Proto DankSharding มา จะทำให้ layer 2 ต้องจ่ายค่าแก๊สให้ layer 1 ถูกลง
- ถ้าในอนาคต มีการใช้เทคนิคอื่นๆที่ไม่ได้เอา data ทั้งหมดไปเก็บลง layer 1 ทั้งหมด เช่นแบบ stellar ที่นำ data ไปเก็บบน ipfs แล้วเอาแค่ hash มาเก็บบน layer 1 จะทำให้ค่าแก็สถูกลง
EIP 4844/opBNB จะ set standard ใหม่ให้กับ ecosystem ?
การที่ Binance เลือกเปิดตัว opBNB อาจจะทำให้ ecosystem กระโดดอย่างเท่าตัว เพราะ
- resource เยอะ doc อ่านง่าย
- adopt ง่าย ไม่ซับซ้อน
ถ้า ecosystem ไปทางนั้นแล้ว คู่แข่งก็จะเริ่มดรอปลงเรื่อยๆ เคสแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว เช่นในเคส Solidity vs Vyper
Vyper อาจเขียนง่ายกว่า Solidity
แต่การที่ ecosystem adopt Solidity ไปแล้ว ทำให้การเริ่มอะไรด้วย Vyper นั้น จะหวังให้คนมาพัฒนา ecosystem ไปด้วยกันยาก เช่น uniswap เคยลองพัฒนาด้วย Vyper แต่ไม่มีใครเอาด้วย จนต้องกลับมา Solidity
opBNB mainnet จะเป็นอย่างไร ?
ถ้าเปิดตัว น่าจะ boom พอสมควรเพราะ
- รับ tx ได้เยอะ (1k tx / s)
- block time น้อย (1s)
- น่าจะสามารถ bridge เหรียญจาก binance exchange มาลงได้ทันที เลยน่าจะมี liquidity เยอะ
สรุป
การที่ Binance เลือกเปิดตัว opBNB ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะชนะ layer 2 อื่นได้มั้ย
ยังไงก็ตาม opBNB เป็น layer 2 ที่แก้ปัญหา scaling ได้แล้ว โดย tech stack นี้ น่าจะรองรับการ scaling ไปได้อีกสักพัก
แต่ปัญหา data ยังอยู่ ทำให้ค่าแก๊สที่ตัว chain layer 2 แบกรับยังเยอะ
ต้องรอดูต่อไปว่าในอนาคตจะเป็นยังไง
Referrence
ขอบคุณข้อมูลจาก live https://www.facebook.com/roomaimak/videos/226141200267980/ จากพี่โดมและพี่ต้นฮ้อ ด้วยครับ